การวางแผน และการพยากรณ์ทางการเงิน
ความสำคัญของการวางแผนทางการเงิน
- Long-Term การวางแผนกลยุทธ์ เป็นการมองไปในอนาคต 2-10 ปี เพื่อกำหนดทิศทางของกิจการ โดยต้องพิจารณาปัจจัยภายในและภายนอกควบคู่กัน
- Intermediate-Term การวางแผนการตลาดและการผลิต เป็นการวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การวิจัยพัฒนา และวางแผนโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม
- Short-Term การวางแผนระยะสั้น ประกอบด้วยการจัดทำงบการเงินรายปีตามแผนงานระยะยาว เพื่อแสดงถึงกิจกรรมต่างๆที่ต้องทำให้บรรลุเป้าหมาย
กระบวนการวางแผนทางการเงิน มี 3 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 การจัดทำแผนกลยุทธ์ (Strategic Plans)
- จุดมุ่งหมายของบริษัท
- ขอบเขตและการดำเนินงานของบริษัท
- เป้าหมายของบริษัท
- กลยุทธ์ของบริษัท
ขั้นที่ 2 การจัดทำแผนปฎิบัติงาน (Operating Plans)
- ใคร หรือ หน่วยงานใด รับผิดชอบงานใด
- เริ่มงานเมื่อไหร่
- เสร็จสิ้นงานเมื่อไหร่
- งานที่ทำมีผลทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
- งานที่ทำมีผลทำให้กิจการมีกำไรเพิ่มขึ้นเท่าไหร่
ขั้นที่ 3 การจัดทำแผนทางการเงิน (Financial Plans)
- ทำงบการเงินล่วงหน้าและใช้งบนั้นเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของแผนการดำเนินงานต่อกำไรที่คาดไว้
- กำหนดเงินทุนที่จะใช้ ซึ่งจะรวมเงินทุนที่ต้องใช้ทั้งหมดในธุรกิจ
- พยากรณ์เงินทุนที่จะหามาได้ในอนาคต ซึ่งรวมถึงเงินทุนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัทเองและเงินทุนจากแหล่งภายนอก
- ระบบการควบคุมในการดูแลการจัดสรรเงินทุนภายในบริษัท
- สร้างแผนปฏิบัติงานสำหรับการปรับแผนงานเมื่อภาวะเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่พยากรณ์ไว้
- สร้างบรรทัดฐานสำหรับการกำหนดผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร เมื่อผู้บริหารทำความมั่งคั่งให้แก่บริษัท
ความหมายและข้อแตกต่างของ Financial Statement กับ Projected Financial Statement
- งบการเงิน (Financial Statement) พิจารณาจาก งบกําไรขาดทุน และงบดุล
- งบประมาณการการเงิน (Projected Financial Statement) ประมาณการงบกําไรขาดทุน และประมาณการงบดุล
งบกําไรขาดทุน (Income Statement)
- ทำจากการบันทึกทางบัญชี
- ทราบว่างวดที่ผ่านมามีรายได้ รายจ่าย กำไรเท่าไร
- เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง
ประมาณการงบกําไรขาดทุน (Projected Income Statement)
- ทำขึ้นจากการวางแผนของกิจการ
- ทราบว่าอนาคตมีรายได้ รายจ่าย กำไรเท่าไร
- เป็นตัวเลขที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต
งบดุล (Balance Sheet)
- ทำจากการบันทึกทางบัญชี
- ทราบว่า (ณ วันใดวันหนึ่งในอดีต) มีสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้เป็นเจ้าของเท่าไร
- เป็นตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง
ประมาณการงบดุล (Projected Balance Sheet)
- ทำขึ้นจากการวางแผนของกิจการ
- ทราบว่า (ณ วันใดวันหนึ่งในอนาคต) คาดว่าจะมีสินทรัพย์ หนี้สิน และส่วนของผู้เป็นเจ้าของเท่าไร
- เป็นตัวเลขที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต
งบการเงินล่วงหน้า (Pro Forma Financial Statement)
งบการเงินล่วงหน้าจะเป็นเครื่องมือในการวางแผน และพยากรณ์ทางการเงิน โดยการจัดทำงบการเงินล่วงหน้าจะมีวัตถุประสงค์ คือ
- เพื่อประเมินว่าผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัท และเป็นไปตามที่นักลงทุนคาดไว้หรือไม่
- เพื่อทำให้ทราบถึงผลที่จะเกิดขึ้นถ้าการดำเนินงานมีการเปลี่ยนแปลงปัจจัยต่างๆ
- เพื่อคาดการณ์ความต้องการเงินทุนในอนาคต
- เพื่อใช้ประเมินกระแสเงินสดที่จะสามารถใช้ได้ในอนาคต
การพยากรณ์ยอดขาย คือ การพยากรณ์จำนวนหน่วยและจำนวนเงินของยอดขาย สำหรับช่วงเวลาหนึ่งในอนาคต โดยพิจารณาจาก
- ยอดขายในอดีต
- ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคนั้น
- การพยากรณ์อุตสาหกรรม
- ปัจจัยอื่นๆ
การพยากรณ์งบการเงิน:วิธีอัตราร้อยละของยอดขาย
การวางแผนทางการเงินนั้นหลังจากที่ทำการพยากรณ์ยอดขายแล้ว บริษัทต้องทำการพยากรณ์งบดุลและงบกำไรขาดทุนในอนาคตด้วย โดยเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป คือ วิธีอัตราร้อยละของยอดขาย ( Percent of Sale Method) (วิธีที่ง่ายที่สุด) คือ พยากรณ์การเงินในอนาคตเป็นร้อยละของยอดขาย (อัตราร้อยละนี้จะคงที่หรือเปลี่ยนแปลงก็ได้) มีขั้นตอนดังนี้
- พยากรณ์งบกำไรขาดทุน (ต้องพยากรณ์ยอดขายก่อน)
- พยากรณ์งบดุล
- สรุปการจัดหาเงินทุนจากแหล่งภายนอก
ขั้นที่ 1 การพยากรณ์งบกำไรขาดทุน
ทำให้ทราบว่ากิจการมีกำไรสุทธิที่เหลือจากการจ่ายเงินปันผลซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนภายในเท่าไร
ขั้นที่ 2 การพยากรณ์งบดุล
- ทำให้ทราบว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นต้องลงทุนในสินทรัพย์แต่ละรายการเพิ่มขึ้นเท่าไร
- จัดหาเงินทุนจากแหล่งภายในเพียงพอหรือไม่
- ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งภายนอกเท่าไร
การวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์
- สินทรัพย์หมุนเวียน จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย spontaneous investment เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงคลัง
- สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน เช่น เครื่องจักร โรงงานจะต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตนั้น
การวางแผนการจัดหาเงินทุน
แหล่งเงินทุนที่มาจากการดำเนินงานของกิจการ
- แหล่งเงินทุนระยะสั้นจากหนี้สินหมุนเวียน : เพิ่มขึ้นอัตโนมัติตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Spontaneous Financing เช่น เจ้าหนี้การค้า, ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย
- แหล่งเงินทุนจากกำไรสะสมส่วนเพิ่ม : กำไรสุทธิจากการดำเนินงานหักด้วยเงินปันผลจ่าย
การพยากรณ์งบดุล มีลำดับขั้นดังนี้
- คำนวณอัตราส่วนสินทรัพย์แต่ละรายการต่อยอดขายในปีที่ผ่านมา
- คำนวณหนี้สินที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติต่อยอดขายในปีที่ผ่านมา
- นำผลการคำนวณตามข้อ 1 และข้อ 2 มาพยากรณ์งบดุล (สินทรัพย์และหนี้สินที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติแต่ละรายการ)
- นำกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิจากงบกำไรขาดทุนที่พยากรณ์มาบวก หรือหักกำไรสะสมจากปีที่ผ่านมา
- ผลต่างของการพยากรณ์สินทรัพย์ กับหนี้สิน และส่วนของผู้เป็นเจ้าของ คือ เงินทุนที่ต้องการ (ไม่ต้องการ) เพิ่มขึ้นจากแหล่งภายนอก
ขั้นที่ 3 สรุปการจัดหาเงินทุนจากแหล่งภายนอก
AFN (Additional Funds Needed) : แหล่งเงินทุนจากภายนอก จัดหาจากแหล่งต่างๆตามความจำเป็นและเหมาะสม ดังนี้
A∗ สินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย(บาท)
L∗ หนี้สินระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย(บาท)
S 0 = ยอดขายในปีที่ผ่านมา (บาท), 1 = ยอดขายที่พยากรณ์ (บาท)
M อัตราเปอร์เซ็นต์ของกาไรสุทธิ(Net Profit Margin)
RR อัตราการกันกาไรสุทธิไว้เพื่อลงทุนต่อ(Retention Ratio)
ข้อพิจารณาเพิ่มเติมในการวางแผนความต้องการเงินทุน
- เมื่อสัดส่วนความสัมพันธ์ระหว่างรายการในงบการเงินเปลี่ยนแปลงจากที่เคยเป็นในปีก่อน
- สัดส่วนระหว่างสินค้าคงเหลือ / ยอดขายลดลง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนนโยบาย สต๊อคสินค้า -> ใช้เงินลงทุนในสินค้าคงเหลือน้อยลง -> AFN น้อยลง
- สัดส่วนระหว่างต้นทุนขาย / ยอดขายลดลง จาก Economic of Scales การประหยัดจากขนาดของการสั่งซื้อขนาดใหญ่ -> ต้นทุนขายลดลง -> กาไรสะสมส่วนเพิ่มมากขึ้น -> AFN น้อยลง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น